ข้อมูลสิ่งมีชีวิต


วันที่อัพเดท : 12 มิ.ย. 2566 12:11 น.
วันที่สร้าง: 12 มิ.ย. 2566 12:11 น.
ข้อมูลทั่วไป
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา :
- ไม้ต้นขนาดเล็ก
- ไม้ต้นขนาดเล็ก
- ไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 12 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง แตกเป็นร่องลึกตามความยาวของลำต้น กิ่งก้านอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปรีถึงรูปใบหอก กว้าง 3.5-8 ซม. ยาว 8-18 ซม. ปลายใบมนถึงเรียวแหลม โคนสอบถึงกลม ขอบเรียบ แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวด้านบนมีขนตามเส้นกลางใบ ผิวด้านล่างมีขนสีน้ำตาลแดงสั้นหนานุ่มทั่วไป มีหนาแน่นตามเส้นใบ เส้นแขนงใบ ข้างละ 6-10 เส้น ปลายจรดกันใกล้ขอบใบ ก้านใบยาว 0.8-1.5 ซม. ปลายก้านใบมีข้อ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกที่ซอกใบ ยาวประมาณ 3 ซม.ก้านช่อดอกสั้น มีขนหนาแน่น ดอกส่วนมากสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอ่อน รูปไข่ปลายทู่หรือแหลม แยกกัน กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 2 มม. ด้านนอกมีขนยาวห่าง ด้านในเกลี้ยง กลีบดอก 5 กลีบ สีขาวหรือสีครีม แยกกัน กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 4 มม. ด้านนอกมีขนยาวห่าง ด้านในมีขนสั้นหนานุ่ม เกสรเพศผู้มี 10 อัน เป็นหมัน 5 อัน เกสรเพศเมีย มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปไข่เบี้ยว มีขนหนาแน่น ยอดเกสรเพศเมีย ปลายแยกเป็น 2 แฉก ใบประดับรูปสามเหลี่ยม ผลแห้งแตกแนวเดียว ยาว 2-4 ซม. ผิวผลมีขนละเอียด สีน้ำตาลแดงหนาแน่น มีก้านผลสั้น ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีน้ำตาล รูปไข่ มีเมล็ด 1 เมล็ด สีดำเป็นมัน รูปไข่หรือรี ยาว 1-2 ซม. มีเยื่อหุ้มเมล็ด สีส้มแดง คล้ายกับตาของนกกรด พบตามป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง ชายป่าดิบ ป่าพรุ ความสูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงประมาณ 800 เมตร ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ติดผลระหว่างเดือนมีนาคม- มิถุนายน
- ไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 12 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง แตกเป็นร่องลึกตามความยาวของลำต้น กิ่งก้านอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปรีถึงรูปใบหอก กว้าง 3.5-8 ซม. ยาว 8-18 ซม. ปลายใบมนถึงเรียวแหลม โคนสอบถึงกลม ขอบเรียบ แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวด้านบนมีขนตามเส้นกลางใบ ผิวด้านล่างมีขนสีน้ำตาลแดงสั้นหนานุ่มทั่วไป มีหนาแน่นตามเส้นใบ เส้นแขนงใบ ข้างละ 6-10 เส้น ปลายจรดกันใกล้ขอบใบ ก้านใบยาว 0.8-1.5 ซม. ปลายก้านใบมีข้อ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกที่ซอกใบ ยาวประมาณ 3 ซม.ก้านช่อดอกสั้น มีขนหนาแน่น ดอกส่วนมากสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอ่อน รูปไข่ปลายทู่หรือแหลม แยกกัน กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 2 มม. ด้านนอกมีขนยาวห่าง ด้านในเกลี้ยง กลีบดอก 5 กลีบ สีขาวหรือสีครีม แยกกัน กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 4 มม. ด้านนอกมีขนยาวห่าง ด้านในมีขนสั้นหนานุ่ม เกสรเพศผู้มี 10 อัน เป็นหมัน 5 อัน เกสรเพศเมีย มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปไข่เบี้ยว มีขนหนาแน่น ยอดเกสรเพศเมีย ปลายแยกเป็น 2 แฉก ใบประดับรูปสามเหลี่ยม ผลแห้งแตกแนวเดียว ยาว 2-4 ซม. ผิวผลมีขนละเอียด สีน้ำตาลแดงหนาแน่น มีก้านผลสั้น ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีน้ำตาล รูปไข่ มีเมล็ด 1 เมล็ด สีดำเป็นมัน รูปไข่หรือรี ยาว 1-2 ซม. มีเยื่อหุ้มเมล็ด สีส้มแดง คล้ายกับตาของนกกรด พบตามป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง ชายป่าดิบ ป่าพรุ ความสูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงประมาณ 800 เมตร ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ติดผลระหว่างเดือนมีนาคม- มิถุนายน
- ไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 12 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง แตกเป็นร่องลึกตามความยาวของลำต้น กิ่งก้านอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปรีถึงรูปใบหอก กว้าง 3.5-8 ซม. ยาว 8-18 ซม. ปลายใบมนถึงเรียวแหลม โคนสอบถึงกลม ขอบเรียบ แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวด้านบนมีขนตามเส้นกลางใบ ผิวด้านล่างมีขนสีน้ำตาลแดงสั้นหนานุ่มทั่วไป มีหนาแน่นตามเส้นใบ เส้นแขนงใบ ข้างละ 6-10 เส้น ปลายจรดกันใกล้ขอบใบ ก้านใบยาว 0.8-1.5 ซม. ปลายก้านใบมีข้อ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกที่ซอกใบ ยาวประมาณ 3 ซม.ก้านช่อดอกสั้น มีขนหนาแน่น ดอกส่วนมากสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอ่อน รูปไข่ปลายทู่หรือแหลม แยกกัน กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 2 มม. ด้านนอกมีขนยาวห่าง ด้านในเกลี้ยง กลีบดอก 5 กลีบ สีขาวหรือสีครีม แยกกัน กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 4 มม. ด้านนอกมีขนยาวห่าง ด้านในมีขนสั้นหนานุ่ม เกสรเพศผู้มี 10 อัน เป็นหมัน 5 อัน เกสรเพศเมีย มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปไข่เบี้ยว มีขนหนาแน่น ยอดเกสรเพศเมีย ปลายแยกเป็น 2 แฉก ใบประดับรูปสามเหลี่ยม ผลแห้งแตกแนวเดียว ยาว 2-4 ซม. ผิวผลมีขนละเอียด สีน้ำตาลแดงหนาแน่น มีก้านผลสั้น ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีน้ำตาล รูปไข่ มีเมล็ด 1 เมล็ด สีดำเป็นมัน รูปไข่หรือรี ยาว 1-2 ซม. มีเยื่อหุ้มเมล็ด สีส้มแดง คล้ายกับตาของนกกรด พบตามป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง ชายป่าดิบ ป่าพรุ ความสูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงประมาณ 800 เมตร ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ติดผลระหว่างเดือนมีนาคม- มิถุนายน
- ไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 12 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง แตกเป็นร่องลึกตามความยาวของลำต้น กิ่งก้านอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปรีถึงรูปใบหอก กว้าง 3.5-8 ซม. ยาว 8-18 ซม. ปลายใบมนถึงเรียวแหลม โคนสอบถึงกลม ขอบเรียบ แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวด้านบนมีขนตามเส้นกลางใบ ผิวด้านล่างมีขนสีน้ำตาลแดงสั้นหนานุ่มทั่วไป มีหนาแน่นตามเส้นใบ เส้นแขนงใบ ข้างละ 6-10 เส้น ปลายจรดกันใกล้ขอบใบ ก้านใบยาว 0.8-1.5 ซม. ปลายก้านใบมีข้อ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกที่ซอกใบ ยาวประมาณ 3 ซม.ก้านช่อดอกสั้น มีขนหนาแน่น ดอกส่วนมากสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอ่อน รูปไข่ปลายทู่หรือแหลม แยกกัน กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 2 มม. ด้านนอกมีขนยาวห่าง ด้านในเกลี้ยง กลีบดอก 5 กลีบ สีขาวหรือสีครีม แยกกัน กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 4 มม. ด้านนอกมีขนยาวห่าง ด้านในมีขนสั้นหนานุ่ม เกสรเพศผู้มี 10 อัน เป็นหมัน 5 อัน เกสรเพศเมีย มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปไข่เบี้ยว มีขนหนาแน่น ยอดเกสรเพศเมีย ปลายแยกเป็น 2 แฉก ใบประดับรูปสามเหลี่ยม ผลแห้งแตกแนวเดียว ยาว 2-4 ซม. ผิวผลมีขนละเอียด สีน้ำตาลแดงหนาแน่น มีก้านผลสั้น ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีน้ำตาล รูปไข่ มีเมล็ด 1 เมล็ด สีดำเป็นมัน รูปไข่หรือรี ยาว 1-2 ซม. มีเยื่อหุ้มเมล็ด สีส้มแดง คล้ายกับตาของนกกรด พบตามป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง ชายป่าดิบ ป่าพรุ ความสูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงประมาณ 800 เมตร ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ติดผลระหว่างเดือนมีนาคม- มิถุนายน
- ไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 12 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง แตกเป็นร่องลึกตามความยาวของลำต้น กิ่งก้านอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปรีถึงรูปใบหอก กว้าง 3.5-8 ซม. ยาว 8-18 ซม. ปลายใบมนถึงเรียวแหลม โคนสอบถึงกลม ขอบเรียบ แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวด้านบนมีขนตามเส้นกลางใบ ผิวด้านล่างมีขนสีน้ำตาลแดงสั้นหนานุ่มทั่วไป มีหนาแน่นตามเส้นใบ เส้นแขนงใบ ข้างละ 6-10 เส้น ปลายจรดกันใกล้ขอบใบ ก้านใบยาว 0.8-1.5 ซม. ปลายก้านใบมีข้อ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกที่ซอกใบ ยาวประมาณ 3 ซม.ก้านช่อดอกสั้น มีขนหนาแน่น ดอกส่วนมากสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอ่อน รูปไข่ปลายทู่หรือแหลม แยกกัน กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 2 มม. ด้านนอกมีขนยาวห่าง ด้านในเกลี้ยง กลีบดอก 5 กลีบ สีขาวหรือสีครีม แยกกัน กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 4 มม. ด้านนอกมีขนยาวห่าง ด้านในมีขนสั้นหนานุ่ม เกสรเพศผู้มี 10 อัน เป็นหมัน 5 อัน เกสรเพศเมีย มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปไข่เบี้ยว มีขนหนาแน่น ยอดเกสรเพศเมีย ปลายแยกเป็น 2 แฉก ใบประดับรูปสามเหลี่ยม ผลแห้งแตกแนวเดียว ยาว 2-4 ซม. ผิวผลมีขนละเอียด สีน้ำตาลแดงหนาแน่น มีก้านผลสั้น ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีน้ำตาล รูปไข่ มีเมล็ด 1 เมล็ด สีดำเป็นมัน รูปไข่หรือรี ยาว 1-2 ซม. มีเยื่อหุ้มเมล็ด สีส้มแดง คล้ายกับตาของนกกรด พบตามป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง ชายป่าดิบ ป่าพรุ ความสูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงประมาณ 800 เมตร ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ติดผลระหว่างเดือนมีนาคม- มิถุนายน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
- ไม้พุ่ม หรือไม้ต้น สูงได้ถึง 30 ม. มีขนสั้นนุ่มหนาแน่นตามกิ่ง ก้านใบ แผ่นใบด้านล่าง ช่อดอก กลีบเลี้ยงด้านนอก แผ่นกลีบดอกทั้งสองด้าน และผล ใบประกอบมีใบย่อยใบเดียว เรียงเวียน รูปรีถึงรูปใบหอก ยาว 6-15 ซม. ปลายแหลมหรือแหลมยาว โคนมนหรือกลม แผ่นใบค่อนข้างหนา ช่อดอกแบบช่อกระจะหรือช่อกระจุกแยกแขนงสั้น ๆ ตามซอกใบ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกจำนวนอย่างละ 5 กลีบ กลีบเลี้ยงรูปไข่ ยาวประมาณ 3 มม. ติดทน ดอกสีขาวหรือครีม กลีบรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ยาวประมาณสองเท่าของกลีบเลี้ยง เกสรเพศผู้โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ๆ ด้านในมีขนยาว อันที่สมบูรณ์ 5 อัน ติดเหนือกลีบเลี้ยง เป็นหมัน 5 อัน ติดเหนือกลีบดอก รังไข่มีช่องเดียว มีขนยาว ผลแห้งแตก รูปรี ยาว 2-3 ซม. ก้านผลยาว 0.5-2 ซม. มีเมล็ดเดียว โคนมีเยื่อหุ้มสีส้มหรือแดง
- หำฟาน ตานกกดน้อย (เชียงใหม่)กะโรงแดง หมาตายทากลาก(ภาคตะวันออก) จันนกกด(นครราชสีมา) ช้างน้าว (ราชบุรี นครราชสีมา) อุ่นขี้ไก่ (ลำปาง) ลักษณะทั่วไป ไม้พุ่ม หรือไม้ต้นสูงถึง 30 ม. ใบเดียว รูปรี หรือ รูปใบหอก กว้าง 3-6 ยาว 6-15 ซม. ก้านใบ ยาว0.5-1 ซม. ฐานใบมน หรือ รูปลิ่ม ปลายใบมน หรือ เรียวแหลม ท้องใบมีขนโดยเฉพาะที่เส้นใบ ดอกออกเป็นช่อเป็นกลุ่มแน่น และแบบกระจะ ดอกมักสมบูรณ์เพศ ดอกย่อยจำนวนไม่มาก มีขนปกคลุมเล็กน้อย กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้จำนวน 5 กลีบดอกสีขาว หรือสีครีม ด้านนอกมีขนประปราย ด้านในมีขนมาก เกสรเพศผู้เกลี้ยงยกเว้นตรงฐาน ผล แบบแห้งแตก มีขนสีน้ำตาล
- หำฟาน ตานกกดน้อย (เชียงใหม่)กะโรงแดง หมาตายทากลาก(ภาคตะวันออก) จันนกกด(นครราชสีมา) ช้างน้าว (ราชบุรี นครราชสีมา) อุ่นขี้ไก่ (ลำปาง) ลักษณะทั่วไป ไม้พุ่ม หรือไม้ต้นสูงถึง 30 ม. ใบเดียว รูปรี หรือ รูปใบหอก กว้าง 3-6 ยาว 6-15 ซม. ก้านใบ ยาว0.5-1 ซม. ฐานใบมน หรือ รูปลิ่ม ปลายใบมน หรือ เรียวแหลม ท้องใบมีขนโดยเฉพาะที่เส้นใบ ดอกออกเป็นช่อเป็นกลุ่มแน่น และแบบกระจะ ดอกมักสมบูรณ์เพศ ดอกย่อยจำนวนไม่มาก มีขนปกคลุมเล็กน้อย กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้จำนวน 5 กลีบดอกสีขาว หรือสีครีม ด้านนอกมีขนประปราย ด้านในมีขนมาก เกสรเพศผู้เกลี้ยงยกเว้นตรงฐาน ผล แบบแห้งแตก มีขนสีน้ำตาล
- หำฟาน ตานกกดน้อย (เชียงใหม่)กะโรงแดง หมาตายทากลาก(ภาคตะวันออก) จันนกกด(นครราชสีมา) ช้างน้าว (ราชบุรี นครราชสีมา) อุ่นขี้ไก่ (ลำปาง) ลักษณะทั่วไป ไม้พุ่ม หรือไม้ต้นสูงถึง 30 ม. ใบเดียว รูปรี หรือ รูปใบหอก กว้าง 3-6 ยาว 6-15 ซม. ก้านใบ ยาว0.5-1 ซม. ฐานใบมน หรือ รูปลิ่ม ปลายใบมน หรือ เรียวแหลม ท้องใบมีขนโดยเฉพาะที่เส้นใบ ดอกออกเป็นช่อเป็นกลุ่มแน่น และแบบกระจะ ดอกมักสมบูรณ์เพศ ดอกย่อยจำนวนไม่มาก มีขนปกคลุมเล็กน้อย กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้จำนวน 5 กลีบดอกสีขาว หรือสีครีม ด้านนอกมีขนประปราย ด้านในมีขนมาก เกสรเพศผู้เกลี้ยงยกเว้นตรงฐาน ผล แบบแห้งแตก มีขนสีน้ำตาล
- หำฟาน ตานกกดน้อย (เชียงใหม่)กะโรงแดง หมาตายทากลาก(ภาคตะวันออก) จันนกกด(นครราชสีมา) ช้างน้าว (ราชบุรี นครราชสีมา) อุ่นขี้ไก่ (ลำปาง) ลักษณะทั่วไป ไม้พุ่ม หรือไม้ต้นสูงถึง 30 ม. ใบเดียว รูปรี หรือ รูปใบหอก กว้าง 3-6 ยาว 6-15 ซม. ก้านใบ ยาว0.5-1 ซม. ฐานใบมน หรือ รูปลิ่ม ปลายใบมน หรือ เรียวแหลม ท้องใบมีขนโดยเฉพาะที่เส้นใบ ดอกออกเป็นช่อเป็นกลุ่มแน่น และแบบกระจะ ดอกมักสมบูรณ์เพศ ดอกย่อยจำนวนไม่มาก มีขนปกคลุมเล็กน้อย กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้จำนวน 5 กลีบดอกสีขาว หรือสีครีม ด้านนอกมีขนประปราย ด้านในมีขนมาก เกสรเพศผู้เกลี้ยงยกเว้นตรงฐาน ผล แบบแห้งแตก มีขนสีน้ำตาล
- ต้นคำรอก จัดเป็นพรรณไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีความสูงได้ประมาณ 12-20 เมตร ไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน เรือนยอดเป็นรูปพุ่มไข่หรือแผ่เป็นพุ่มแคบ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลแดงหรือสีเทา แตกเป็นร่องลึกตามความยาวของลำต้น และเป็นสะเก็ดหนา ตามกิ่งก้านอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาลขึ้นปกคลุม
ระบบนิเวศ :
- ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ความสูงถึงประมาณ 800 เมตร 
การกระจายพันธุ์ :
- พบในพม่า อินโดจีน และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ประโยชน์ กิ่งก้านและต้น ต้มน้ำดื่มแก้ปวดท้องเกร็ง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร ผสมต้นพลับพลา กำแพงเจ็ดชั้น ต้นสบู่ขาว ต้นพลองเหมือด และแก่นจำปา ต้มน้ำดื่มแก้หืด เปลือกต้น และแก่น ต้มน้ำดื่มแก้ไตพิการ (โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ มีปัสสาวะขุ่นข้น เหลืองหรือแดง มักมีอาการแน่นท้อง กินอาหารไม่ได้)
- พบในพม่า อินโดจีน และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ประโยชน์ กิ่งก้านและต้น ต้มน้ำดื่มแก้ปวดท้องเกร็ง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร ผสมต้นพลับพลา กำแพงเจ็ดชั้น ต้นสบู่ขาว ต้นพลองเหมือด และแก่นจำปา ต้มน้ำดื่มแก้หืด เปลือกต้น และแก่น ต้มน้ำดื่มแก้ไตพิการ (โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ มีปัสสาวะขุ่นข้น เหลืองหรือแดง มักมีอาการแน่นท้อง กินอาหารไม่ได้)
- พบในพม่า อินโดจีน และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ประโยชน์ กิ่งก้านและต้น ต้มน้ำดื่มแก้ปวดท้องเกร็ง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร ผสมต้นพลับพลา กำแพงเจ็ดชั้น ต้นสบู่ขาว ต้นพลองเหมือด และแก่นจำปา ต้มน้ำดื่มแก้หืด เปลือกต้น และแก่น ต้มน้ำดื่มแก้ไตพิการ (โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ มีปัสสาวะขุ่นข้น เหลืองหรือแดง มักมีอาการแน่นท้อง กินอาหารไม่ได้)
- พบในพม่า อินโดจีน และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ประโยชน์ กิ่งก้านและต้น ต้มน้ำดื่มแก้ปวดท้องเกร็ง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร ผสมต้นพลับพลา กำแพงเจ็ดชั้น ต้นสบู่ขาว ต้นพลองเหมือด และแก่นจำปา ต้มน้ำดื่มแก้หืด เปลือกต้น และแก่น ต้มน้ำดื่มแก้ไตพิการ (โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ มีปัสสาวะขุ่นข้น เหลืองหรือแดง มักมีอาการแน่นท้อง กินอาหารไม่ได้)
แหล่งที่พบภายในประเทศ :
- อุตรดิตถ์,แพร่
- มุกดาหาร
- ราชบุรี
- พิษณุโลก
- สงขลา
- อุตรดิตถ์
- อุตรดิตถ์
- นครราชสีมา
- อุบลราชธานี
- อุบลราชธานี
- เพชรบูรณ์
- กำแพงเพชร
- ลำปาง
- ชัยภูมิ
- ชัยภูมิ
- ชัยภูมิ
- นครราชสีมา, ปราจีนบุรี
- เพชรบูรณ์, พิษณุโลก
- เพชรบูรณ์, พิษณุโลก
- ชัยภูมิ
- ชัยภูมิ
- ชัยภูมิ
- ชัยภูมิ
- อุบลราชธานี
- อุบลราชธานี
- มุกดาหาร
- มุกดาหาร
- ชัยภูมิ
- ขอนแก่น
- ลำปาง, ตาก
- เชียงใหม่
- สุโขทัย
- เชียงใหม่
- ตรัง, พัทลุง, สตูล, สงขลา
- ตรัง, พัทลุง, สตูล, สงขลา
- บุรีรัมย์
- พะเยา, น่าน
- ลำพูน, ลำปาง
- ลำพูน, ลำปาง
- อุตรดิตถ์
- ชัยภูมิ
- กาฬสินธุ์
- ราชบุรี
- ราชบุรี
- พะเยา
- กาญจนบุรี
- สุรินทร์
- สุรินทร์
- สุรินทร์
- สุรินทร์
- สุรินทร์
- เชียงใหม่
- สุรินทร์
- สุรินทร์
- สุรินทร์
- สุรินทร์
- สุรินทร์
- เชียงใหม่
- ยะลา, นราธิวาส
- ป่าชุมชนอาลอ-โดนแบน
รายละเอียดอื่นๆ ของแหล่งที่พบ :
- อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ อำเภอลับแล อุตรดิตถ์, อำเภอวังชิ้น อำเภอเด่นชัย แพร่
- ภูผาเทิบ
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขาประทับช้าง
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขาพนมทอง
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขาเหรง
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขาใหญ่-เขาหน้าผาตั้งและเขาตาพรม
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขาใหญ่-เขาหน้าผาตั้งและเขาตาพรม
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ป่าเขาภูหลวง
- อุทยานแห่งชาติ แก่งตะนะ
- อุทยานแห่งชาติ แก่งตะนะ
- อุทยานแห่งชาติ เขาค้อ
- อุทยานแห่งชาติ คลองลาน
- อุทยานแห่งชาติ แจ้ซ้อน
- อุทยานแห่งชาติ ตาดโตน
- อุทยานแห่งชาติ ตาดโตน
- อุทยานแห่งชาติ ตาดโตน
- อุทยานแห่งชาติ ทับลาน
- อุทยานแห่งชาติ ทุ่งแสลงหลวง
- อุทยานแห่งชาติ ทุ่งแสลงหลวง
- อุทยานแห่งชาติ ไทรทอง
- อุทยานแห่งชาติ ไทรทอง
- อุทยานแห่งชาติ ไทรทอง
- อุทยานแห่งชาติ ป่าหินงาม
- อุทยานแห่งชาติ ผาแต้ม
- อุทยานแห่งชาติ ผาแต้ม
- อุทยานแห่งชาติ ภูผาเทิบ
- อุทยานแห่งชาติ ภูผาเทิบ
- อุทยานแห่งชาติ ภูแลนคา
- อุทยานแห่งชาติ ภูเวียง
- อุทยานแห่งชาติ แม่วะ
- อุทยานแห่งชาติ แม่วาง
- อุทยานแห่งชาติ รามคำแหง
- อุทยานแห่งชาติ ศรีลานนา
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาบรรทัด
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาบรรทัด
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ดงใหญ่
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ดอยผาช้าง
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ดอยผาเมือง
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ดอยผาเมือง
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า น้ำปาด
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ภูเขียว
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ภูสีฐาน
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แม่น้ำภาชี
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แม่น้ำภาชี
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เวียงลอ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สลักพระ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า อมก๋อย
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า อมก๋อย
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฮาลา-บาลา
- สุรินทร์
ข้อมูลการนำไปใช้ประโยชน์
รายละเอียดการนำมาใช้ประโยชน์ :
- สมุนไพร,ที่อยู่อาศัย,ไม้ดอกไม้ประดับ,เครื่องจักสานและเครื่องใช้สอย
- รากคำรอกใช้ผสมกับรากตาไก้ และรากตากวง นำมาต้มกินเป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต ตำรายาไทยจะใช้เนื้อไม้ นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง กิ่งก้านและต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาช่วยเรียกน้ำย่อย ช่วยเจริญอาหาร เนื้อไม้มีรสฝาดขมมัน ใช้เป็นยาแก้กระษัย เป็นยาถ่ายพิษเสมหะและโลหิต กิ่งก้านและต้นใช้ผสมกับต้นกำแพงเจ็ดชั้น ต้นพลองเหมือด ต้นสบู่ขาว แก่นพลับพลา และแก่นจำปา นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้หอบหืด กิ่นก้านและต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยป้องกันอาการท้องอืด เนื้อไม้ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดท้อง ช่วยคลายอาการเกร็งของกล้ามเนื้อท้อง กิ่งก้านและต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดท้องเกร็ง หรือรักษาอาการบีบเกร็งของช่องท้อง ตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีจะใช้เนื้อไม้คำรอกเข้ายากับตาไก้และขันทองพยาบาท นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องผูก เปลือกต้นและแก่นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคทางเดินปัสสาวะ
ที่มาของข้อมูล
พิพิธภัณฑ์
Barcode ชื่อพิพิธภัณฑ์ จังหวัด ลักษณะ
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Dry
Barcode ชื่อพิพิธภัณฑ์ จังหวัด ลักษณะ