หน่วยงานที่รับผิดชอบ
สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12
ประวัติความเป็นมา
ในอดีตการค้าขายและการสัญจรไปมาของประชาชนในประเทศไทย ใช้ลำน้ำเป็นหลัก ซึ่งแม่น้ำสายสำคัญในภาคเหนือของประเทศไทยคือ แม่น้ำปิง วัง ยม และน่าน ที่ไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่สำคัญของเทศ ปากน้ำโพในสมัยต้นกรุงรัตน โกสินทร์ถือว่า เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้า การค้าขาย และการคมนาคม ภายหลังจากเมื่ออังกฤษได้ครอบครองอินเดียและพม่า จึงได้รู้จักคุณค่าของไม้สักที่เป็นไม้คุณภาพดี มีราคา ได้มีการตัดฟันไม้สักจากประเทศอินเดียและพม่าไปจำหน่ายยังประเทศอังกฤษ ทำกำไรให้แก่พ่อค้าชาวอังกฤษเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ทำให้ทรัพยากรป่าไม้ในประเทศอินเดียและพม่า เสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ต่อมาอังกฤษได้ทราบว่ามีป่าไม้สักขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น และอุดมสมบูรณ์ในภาคเหนือของประเทศสยาม จึงต้องการเข้ามาทำไม้สักจากประเทศสยามไปค้าขายทำกำไรบ้าง โดยผู้ประสงค์จะทำไม้ต้องขออนุญาตจากเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน เสียก่อน ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการอนุญาตซ้ำซ้อน มีกรณีพิพาทระหว่างผู้ขอทำไม้และเจ้าผู้ครองนครเจ้าของป่าอยู่เสมอ ซึ่งกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นปัญหาความมั่นคงของประเทศในสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง
ในปี พ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระบรมราชโองการว่าด้วยการภาษีไม้ขอนสักและไม้กระยาเลย อันเป็นการวางรากฐานการจัดเก็บภาษีและควบคุมการทำไม้ให้เป็นระเบียบและมีรากฐานเดียวกัน ต่อมารัฐบาลสนใจที่จะเข้าควบคุมการทำไม้ให้รัดกุมยิ่งขึ้นและต้องการที่จะปรับปรุงสถานการณ์ป่าไม้ของสยามให้ดียิ่งขึ้น จึงได้ติดต่อกับรัฐบาลอินเดียของอังกฤษขอยืมตัวผู้เชี่ยวชาญด้านการป่าไม้มาช่วย และรัฐบาลอินเดียได้ส่ง มร.เอช เอ สเลด ชาวอังกฤษ ผู้เคยปฏิบัติงานอยู่ในกรมป่าไม้พม่า ซึ่มาดำเนินการสำรวจดูงานในท้องที่ต่างๆ ในภาคเหนือของสยามในขณะนั้น และจัดทำรายงานว่าการป่าไม้ทั้งหมดยังอยู่ในความครอบครองของเจ้าผู้ครองนคร แทนที่จะอยู่ในความควบคุมดูแลของรัฐบาล รวมทั้ง การทำไม้เท่าที่เป็นอยู่ยังไม่อยู่ในระเบียบแบบแผนที่ถูกต้อง และขาดหลักการเกี่ยวกับการคุ้มครองรักษาป่าไม้ให้อำนวยผลอย่างถาวร และได้เสนอแนะข้อแก้ไขปัญหาไว้หลายประการ โดยให้ทำการจัดตั้งกรมป่าไม้ขึ้น พร้อมทั้งออกพระราชบัญญัติป่าไม้มาเป็นเครื่องมือในการป้องกันรักษาป่าอย่างมีแบบแผน ตลอดจนการปรับปรุงสัญญาเงื่อนไขต่างๆ กับผู้ทำไม้ เพื่อเป็นการป้องกันการเสียเปรียบของรัฐบาลสยาม และประการสำคัญ ได้เสนอการจัดตั้งด่านเก็บภาษีไม้ในสถานที่ที่เหมาะสมหลายแห่ง เพื่อสะดวกในการเก็บเงินภาษีบำรุงรัฐบาลให้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จากข้อเสนอดังกล่าวนี้ กระทรวงมหาดไทยเห็นด้วยและสนับสนุนข้อเสนอแนะของ มร.เอช เอ สเลด ชาวอังกฤษ และทำรายงานกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งกรมป่าไม้ขึ้นตามพระราชหัตถเลขา ฉบับที่ 62/385 ลงวันที่ 18 กันยายน ร.ศ.115 (พ.ศ.2439) จึงขออัญเชิญมาแสดงไว้โดยย่อเป็นบางตอนดังต่อไปนี้
“ถึงกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ด้วยจดหมายที่ 88/19337 ลงวันที่ 6 เดือนนี้ ส่งรายงาน มิสเตอร์สเลด ตรวจการป่าไม้มีความเห็นที่จะจัดการต่อไป มหาดไทยเห็นชอบด้วย ขออนุญาตจัดการนั้นได้ตรวจดูตลอดแล้ว เห็นว่าความคิด มิสเตอร์สเลด เป็นความถูกต้องดีแท้ทุกประการ เป็นอนุญาตให้จัดการตามที่ว่า...กรมป่าไม้นั้น เป็นที่ตกลงให้ตั้งบรรดาป่าไม้ทั้งปวง และด่านภาษีเมืองชัยนาทให้อยู่ในกระทรวงมหาดไทย” จึงอาจกล่าวได้ว่ากรมป่าไม้ได้กำเนิดขึ้นในวันที่ 18 กันยายน ร.ศ. 115 หรือ พ.ศ. 2439 และภายหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน ได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าให้มิสเตอร์ เอช เอ สเลด เป็นเจ้ากรมป่าไม้คนแรก มีที่ทำการกรมป่าไม้ที่จังหวัดเชียงใหม่ (สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2441 ได้ยุบด่านภาษีเมืองชัยนาทที่ตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2435 มาตั้งตำบลโพตก อำเภอปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ และได้ตั้งที่ทำการป่าไม้ภาคมณฑลนครสวรรค์ขึ้นในปีเดียวกัน มีพื้นที่ดูแลรับผิดชอบ จังหวัดชัยนาท อุทัยธานี นครสวรรค์ กำแพงเพชรและตาก โดยมีนาย เอ ดับเบิลยู คูปเปอร์ เป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ภาคมณฑลนครสวรรค์คนแรก ที่ทำการตั้งอยู่ที่เดียวกันกับด่านป่าไม้ปากน้ำโพ ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันตกของถนนพหลโยธิน เชิงสะพานเดชาติวงศ์ด้านเหนือ ซึ่งด่านป่าไม้ปากน้ำโพ มีมิสเตอร์ มอคเคอร์ มาดำรงตำแหน่ง นายด่านภาษีปากน้ำโพ ถึงปี พ.ศ. 2443 และย้ายไปเป็นผู้ช่วยส่วนตัวเจ้ากรมป่าไม้ แล้วแต่งตั้ง มิสเตอร์ พี เอ ฮอพพ์แมน มาดำรงตำแหน่ง นายด่านภาษีปากน้ำโพตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449 เป็นคนต่อมาการปฏิบัติงานในระยะแรกงานของป่าไม้ภาคมณฑลนครสวรรค์ เน้นหนักไปในการจัดรูปแบบงานสร้างอาคารบ้านพักเจ้าหน้าที่การเก็บภาษีไม้ซุง ซึ่งผูกแพลอยมาตามลำน้ำ ปิง วัง ยม น่าน การตรวจสอบงานและสำรวจป่า การโต้ตอบและรายงานด่าน ซึ่งเน้นลักษณะงานการควบคุมการทำไม้ออกจากพื้นที่ป่า ในเขตท้องที่ภาคเหนือและในพื้นที่รับผิดชอบ ต่อมาทางราชการได้ยุบเลิกมณฑลเทศาภิบาลและป่าไม้ภาคมณฑลนครสวรรค์ ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นสำนักงานป่าไม้เขตนครสวรรค์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 สมัยนายเฉลิม ศิริวรรณ ดำรงตำแหน่งป่าไม้เขตนครสวรรค์คนแรก ซึ่งต่อมารัฐบาลได้ตัดถนนสายพหลโยธินจากกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2485 ขึ้นสู่ภาคเหนือและตัดผ่านจังหวัดนครสวรรค์ สร้างสะพานเดชาติวงศ์ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เสร็จปี พ.ศ.2493 หลังจากนั้นด่านทางน้ำก็เริ่มลดความสำคัญลงตามลำดับและกลายเป็นด่านป่าไม้ทางบก สำหรับงานของสำนักงานป่าไม้เขตนครสวรรค์นั้น ยังคงเป็นงานด้านการทำไม้จากสัมปทานของผู้รับสัมปทานภายในประเทศ งานสงวนและคุ้มครองป่า งานจัดการที่ดินป่าไม้ งานอนุญาตไม้สักและไม้ยางเพื่อการใช้สอยส่วนตัว งานปลูกและบำรุงป่า ซึ่งการปลูกสร้างสวนป่าไม้สักในท้องที่สำนักงานป่าไม้เขตนครสวรรค์ขึ้นครั้งแรก
ในปี พ.ศ. 2505 ที่สวนป่าบ้านไร่ทรงธรรม จังหวัดกำแพงเพชร งานป้องกันรักษาป่า งานสำรวจพื้นที่เพื่อประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ การจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ต่อมา เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2545 ได้มีพระราชกฤษฏีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 มีผลทำให้กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แบ่งภารกิจเกี่ยวกับการอนุรักษ์ ส่งเสริมและฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้มาอยู่ในความควบคุมของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดส่วนราชการส่วนกลาง ที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคของประเทศ จากสำนักงานป่าไม้เขต เป็นสำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ 1 – 21 โดยสำนักงานป่าไม้เขตนครสวรรค์ เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักบริหารจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 6 และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 ในปัจจุบัน ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 19/47 ถนนโกสีย์ใต้ ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางทิศเหนือประมาณ 240 กิโลเมตร บริเวณด้านทิศตะวันออกของถนนสายเอเชีย เชิงสะพานเดชาติวงศ์ ด้านเหนือในปัจจุบัน
สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 (นครสวรรค์) ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ในจังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร และจังหวัดอุทัยธานี ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า ได้รับผิดชอบดูแลเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำนวน
2 เขต และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า จำนวน 3 เขต ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสนามเพรียง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน จังหวัดอุทัยธานี และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าห้วยทับเสลา-ห้วยระบำ
ที่มาของข้อมูล: https://portal.dnp.go.th/p/nakhonsawan
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
ประวัติความเป็นมา
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ในอดีตนั้นพื้นที่ป่าบริเวณนี้ (ปี พ.ศ.2498) บางส่วนมีการให้สัมปทานการทำไม้แก่บริษัทไม้อัดไทย แต่เนื่องจากรัฐบาลโดยกรมป่าไม้เห็นว่าพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบนของห้วยขาแข้ง และห้วยทับเสลา มีสภาพป่าสมบูรณ์และสัตว์ป่าชุกชุม ประกอบกับเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าที่หายากหลายชนิด เช่น สมเสร็จ เลียงผา เก้งหม้อ ควายป่า ละองหรือละมั่ง และแมวลายหินอ่อน ควรจะรักษาพื้นที่ไว้เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า นอกจากนี้พื้นที่ลุ่มน้ำห้วยขาแข้งและห้วยเสลาตอนบน ยังเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำแม่กลองและแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อการเกษตรและเศรษฐกิจด้านอื่นด้วย รัฐบาลจึงได้ดำเนินการผลักดันจนสามารถประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง โดยประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเมื่อ พ.ศ. 2515 ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 201 และประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 89 ตอนที่ 132 เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2515 เป็นแห่งที่ 5 ของประเทศไทย ในขณะนั้นมีพื้นที่ รับผิดชอบประมาณ 1,019,379 ไร่ (1,631 ตารางกิโลเมตร) และได้มีการประกาศผนวกพื้นที่เพิ่มเติมในปี พ.ศ.2529 อีก 589,775 ไร่ ทำให้มีเนื้อที่เป็น 1,609,150 ไร่ (23,574.64 ตารางกิโลเมตร) ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 103 ตอนที่ 87 ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2529 และได้ผนวกพื้นที่ในส่วนตอนเหนือและฝั่งตะวันออกเพิ่มขึ้น ในปี พ.ศ.2535 ครอบคลุมพื้นที่ตำบลระบำ ตำบลป่าอ้อ อำเภอลานสัก ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต ตำบลคอกควาย ตำบลแก่นมะกรูด อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี และบางส่วนครอบคลุมพื้นที่ตำบลแม่ละมุ้ง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก จากการที่ได้ผนวกพื้นที่เพิ่มเติม ครอบคลุมป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ติดกันที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของควายป่า สัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งของประเทศไทย ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 109 ตอนที่ 126 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2535 ทำให้มีพื้นที่รวมในปัจจุบัน 1,737,587ไร่ (2,780 ตารางกิโลเมตร)
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา:30/12/2535
ที่มาของข้อมูล:http://paro12.dnp.go.th/paro12/index.php/2020-06-03-15-27-09/2020-06-06-06-44-50.html