รายละเอียดการนำมาใช้ประโยชน์
-
อาหาร
- "ปลากระมังเป็นปลามีเกล็ดอยู่ในสกุล Barb เช่นเดียวกับปลาตะเพียนขาว มีขั้นการวิวัฒนาการตาม Taki (1974) คือ Phylum Chordata Class PiscesOrder CypriniformesSub order Cyprinoidei Family CyprinidaeSub family Cyprininae, Genus PuntioplitesSpecies proctozysron เกล็ดตามลำตัวมีสีเงิน เกล็ดในแนวเส้นข้างตัว 33-35 เกล็ด หน้าครีบหลัง 13-15 เกล็ด และรอบคอดหาง 16-18 เกล็ด ครีบหลังประกอบด้วยก้านครีบเดี่ยว 3 อัน ก้านครีบแขนง 8 อัน ครีบก้นประกอบด้วยก้านครีบเดี่ยว 3 อัน ซึ่งมีหนามแหลมซึ่งจะพบในปลาตะเพียนเพียง 2-3 ชนิดเท่านั้น (Smith, 1945) และก้านครีบแขนง 5 อัน จงอยปากทู่ ไม่มีฟันที่ริมฝีปากและเพดานปาก ไม่มีหนวด ซี่เหยือกยาวเรียวและบอบบางกว่าปลาตะเพียนขาว รูปร่างค่อนข้างเหลี่ยมมากกว่าตะเพียนขาว ซึ่งจะเห็นเหลี่ยมชัดบริเวณหน้าครีบหลังและครีบก้น ในบางท้องที่จึงเรียกปลาชนิดนี้ว่า ปลาเหลี่ยม หรือ สี่เหลี่ยม และตรงรอยต่อระหว่างกะโหลกกับส่วนหลังจะหักเว้าเล็กน้อยก่อนเฉียงขึ้นไปยังโคนครีบหลังปลากระมังมีสัดส่วนของลำตัวคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของความยาวมาตรฐาน (percent of standard length หรือ % SL) แล้วแสดงเป็นค่าน้อยที่สุด ค่ามากที่สุด (ค่าเฉลี่ย + ค่าเบี่ยงเบน) % SL ดังนี้ ความลึกลำตัว 44.28 47.67 (46.12 + 1.25) % SL,ความยาวหัว 28.00 -31.56 (29.73 + 1.26) % SL, เส้นผ่าศูนย์กลางตา 8.00 -10.49 (9.96 + 0.78) % SL, ความยาวหน้าตา (Snout) 7.78 9.69 ( 8.61 + 0.57) % SL, ความลึกคอดหาง 14.16 -15.15 (14.47 + 0.31) % SL, ความกว้างระหว่างตา 10.02-12.95 (11.23 + 0.90) % SL, ความยาวหลังตา 152.57+14.62 ( 13.45 + 0.76) % SL, ความยาหน้าครีบหลัง 57.40+62.25 (59.72 +1.45) % SL, ความยาวหน้าครีบก้น 71.46-76.00 (73068 + 1.44) % SL, ความยาวหน้าครีบท้อง 47.29-51.50 ( 49.80 + 1.14) % SLลักษณะที่สามารถแยกปลากระมังออกจากปลาในกลุ่มปลาตะเพียน (Puntiid fish) ได้โดยชัดเจนคือ ก้านครีบก้นอันดับที่ 3 เป็นหนามแหลมที่เป็นหยัก ( Serrated anal spine) ซึ่งจะไม่พบลักษณะแบบนี้เลยในปลาตะเพียนตัวอื่นๆ แหล่งกำเนิดและการแพร่กระจาย จากการสำรวจอ่างเก็บน้ำของประเทศไทยสามารถพบปลากระมังในทุกแหล่งและสามารถจับขึ้นมาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก สมศักดิ์ (2515) กล่าวว่า ปลาชนิดนี้พบมากในประเทศไทย กัมพูชา พม่า และลาว สำหรับในประเทศไทยพบทั่วไปในแม่น้ำ ลำคลอง เช่น แม่น้ำปิง แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล จากการสำรวจในอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ พบว่ามีกระจายอยู่ทั่วไปและสามารถจับมาจำหน่ายได้เป็นจำนวนมาก ยงยุทธ (2529) กล่าวว่าในการรวบรวมพันธุ์ปลากระมังพบว่าปลาชนิดนี้ชอบอาศัยในบริเวณป่าพง ป่าอ้อ ที่ขึ้นอยู่ตามริมฝั่งคลองที่น้ำท่วมถึง และมีระดับน้ำเฉลี่ย 80-100 ซม. อาหารและนิสัยการกินอาหาร จากการศึกษาพบว่าปลากระมังเป็นปลาที่มีซีกเหงือกยาวเรียวและบอบบางและมีฟันในอุ้งปลา (pharyngeal teeth) และเป็นปลาพวก (cyprinid) ซึ่งจัดเป็นปลาพวกไม่มีกระเพาะ ส่วนลำไส้จากการวัดความยาวของลำไส้เปรียบเทียบกับความยาวลำตัว จำนวน 26 ตัวอย่าง พบว่าอัตราส่วนความยาวลำไส้ : ความยาวลำตัวเฉลี่ย 1.383 : 1 และมีความสัมพันธ์ระหว่างความยาวลำตัว (L) และความยาวลำไส้ (I) จากสูตร L = cIin L = 92.18045 I 0.7938 r = 0.5816 ความแตกต่างระหว่างเพศภายนอกของปลากระมังเพศผู้และเพศเมีย ลักษณะความแตกต่างระหว่างเพศของปลากระมังทั้ง 2 เพศ เมื่อดูจากลักษณะภายนอกจะมีความแตกต่างดังนี้1. ปลากระมังรุ่นเดียวกันเมื่อโตเต็มวัยเพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย2. ลักษณะลำตัวปลาเพศผู้จะเรียว ส่วนเพศเมียจะป้อมกว่า3. ในฤดูผสมพันธุ์ตัวเมียท้องจะนิ่มและอูมเป่ง ขยายออกมาด้านข้าง และ urogenital pore กว้างกว่าปกติ ส่วนตัวผู้เมื่อเอามือรีดเบาๆ จากท้องไปทางทวารจะมีน้ำเชื้อสีขาวคล้ายน้ำนมไหลออกมาจากช่องเพศอัตราส่วนเพศในธรรมชาติ อัตราส่วนเพศของปลากระมังที่ได้จากการเก็บตัวอย่างครั้งนี้ = 1:1 ความสัมพันธ์ระหว่างความยาวและน้ำหนัก ในการศึกษาสัมพันธ์ระหว่างความยาวและน้ำหนัก ของปลากระมังโดยแยกเพศในตัวอย่างเพศผู้ 428 ตัว และตัวอย่างเพศเมีย 443 ตัว คำนวณหาสมการโดยใช้วิธี Method of Least Square ได้สมการดังนี้ สมการเพศผู้ log W = -2.02201 + 3.11973 log L หรือ W = 0.0095058 L3.11973 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) = 0.927360 สมการของเพศเมีย log W = 1.86597 + 2.99159 log L หรือ W = 0.013615 L2.99159 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) = 0.848982 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ที่ได้มีสหสัมนธ์สูงที่ระดับสัยสำคัญที่ 95% แสดงว่าร้อยละ 95 ของความยาวและน้ำหนักของปลากระมัง มีความสัมพันธ์กันในรูปสมการยกกำลังดังสมาการที่ได้จริง เมื่อนำค่าของ W และ L เขียนกราฟจะได้กราฟเส้นโค้ง เมื่อนำค่า log ของน้ำหนักและความยาวของปลากระมังเพศผู้และเพศเมียจะได้กราฟเส้นตรง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในขนาดน้ำหนักเท่ากัน ปลากระมังเพศเมียจะยาวกว่าปลากระมังเพศผู้เสมอ ซึ่งสัมพันธ์ตามการศึกษาความแตกต่างระหว่างเพศภายนอกซึ่งพบว่าปลากระมังรุ่นเดียวกันเมื่อโตเต็มวัยเพศเมียจะมีขนาดโตกว่าเพศผู้ การวิวัฒนาการของอวัยวะเพศของปลากระมัง จากตัวอย่างปลากระมังเพศผู้จำนวน 428 ตัวอย่าง เมื่อผ่าตัดตรวจดูลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นโดยการเก็บตัวอย่างในรอบปีเมื่อคิดเปอร์เซ็นต์การพัฒนาของอัณฑะตามวิธีของ Kesteven (1960) พบว่า1. เดือนธันวาคม ปลากระมังเพศผู้ส่วนใหญ่ 75.36% พัฒนาอยู่ในระยะ Resting ซึ่งเป็นระยะที่ปรับสภาพเตรียมพร้อมสำหรับฤดูกาลต่อไป มีบางส่วน ( 24.64%) ที่พัฒนาเร็วขึ้นมีการทำลายน้ำเชื้อหมดไปจนอวัยวะเพศเข้าสู่ระยะแรกของการพัฒนา2. เดือนมกราคม การพัฒนาของอวัยวะเพศผู้มีแนวโน้มที่จะเตรียมพร้อมในการพัฒนาการสร้างน้ำเชื้อมากขึ้น ดังนั้นตัวอย่างส่วนใหญ่ ( 85.18%) จึงพบระยะเริ่มต้นการพัฒนาคือ ระยะ Vergin และมีบางส่วนที่พัฒนามากขึ้น3. เดือนกุมภาพันธ์ การพัฒนาของอวัยวะเพศผู้ในช่วงนี้ยังใความแตกต่างมากนัก 92.10 % ยังอยู่ในระยะ Vergin 4. เดือนมีนาคม การพัฒนาของอวัยวะเพศผู้เริ่มกระจายไปสู่ระยะที่พัฒนามากขึ้น คือ เป็น Vergin 18.00 % Maturing Vergin 36.00% นอกนั้นกระจายในเปอร์เซ็นต์ต่ำจนสมารถพบปลาเพศผุ้ที่มีน้ำเชื้อแก่เต็มที่ (Gravid) พร้อมที่จะผสมพันธุ์ และปลาที่ปล่อยน้ำเชื้อไปแล้ว5. เดือนเมษายน ปลาเพศผู้มีลักษณะการพัฒนาใกล้เคียงกันในเดือนมีนาคม ส่วนของอวัยวะเพศผู้ในระยะ Vergin ลดลงเหลือเพียง 10.91% แต่ Maturing Vergin มากขึ้นถึง 41.82 %6. เดือนพฤษภาคม อวัยวะเพศผู้ในระยะ Vergin ลดลงมากจนเหลือเพียง 7.50% แต่จะกระจายไปสู่ระยะที่พัฒนามากขึ้น และพบระยะ Gravid ถึง 40.00% 7. เดือนมิถุนายน ไม่พบปลาที่อยู่ในระยะพัฒนาต้นๆ คือ Vergin และ Maturing Vergin เลยแต่จะพบอวัยวะเพศในระยะ developing มากถึง 47.06% 8. เดือนกรกฎาคม พบปลาเพศผู้ส่วนใหญ่ มีความพร้อมที่จะผสมพันธุ์คือ มีระยะ Developing 33.33% และพร้อมในการผสมพันธุ์ 33.33% และบางส่วนที่ปล่อยน้ำเชื้อไปแล้ว 22.22% 9. เดือนสิงหาคม พบปลาเพศผู้มีอวัยวะเพศอยู่ในระยะ Gravid มาก ถึง 53.85% 10. เดือนกันยายน ยังสามารถพบอวัยวะเพศผู้ในระยะ Gravid ได้ถึง 38.90% และปลาที่ปล่อยน้ำเชื้อไปแล้วในระยะ spawning 23.81%11. เดือนตุลาคม จะไม่สามารถพบปลาที่มีน้ำเชื้อเต็มท้องเลยจะพบแต่ปลาที่มีอัณฑะบวมแดง ในระยะ spent 67.65% และปลาเพศผู้ที่เตรียมพร้อมในฤดูต่อไป 32.35% 12. เดือนพฤศจิกายน ปลาเริ่มที่จะปรับตัวสู่ฤดูกาลสืบพันธุ์ในปีต่อไปจึงพบปลาในระยะ Vergin 82.14% และปลาระยะ Maturing Vergin 14.29% และปลาในระยะ developed เพียง 3.57%จากลักษณะที่มองเห็นในเพศผู้และเก็บตัวอย่างในรอบปี เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์การพัฒนาของอัณฑะในแต่ละเดือนพอสรุปได้ว่า ปลากระมังเพศผู้มีน้ำเชื้อพร้อมที่จะผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนกันยายนการพัฒนาของรังไข่ พบว่า1. เดือนธันวาคม ปลากระมังเพศเมียส่วนใหญ่ (77.50%) พัฒนาอยู่ในระยะ Resting เพื่อเตรียมพร้อมในฤดูต่อไป มีบางส่วน (22.50%) ที่เริ่มพัฒนาในระยะแรก2. เดือนมกราคม การพัฒนาในระยะ Resting ลดลงมาก (10.63%) และมีมากที่สุดในระยะ Vergin (80.85%) และเริ่มพบระยะ Maturing Vergin (8.51%)3. เดือนกุมภาพันธ์ ไม่พบปลาในระยะ Vergin เลย การพัฒนาของอวัยวะเพศเพิ่มมากขึ้นพบระยะ maturing Vergin มาก (52.38%) และเริ่มพบระยะ developed (19.50%)4. เดือนมีนาคม มีการพัฒนาไม่ค่อยแตกต่างจากเดือนก่อนมากนักเพียงแต่เพิ่มเปอร์เซ็นต์การพัฒนาในระยะเดิม คือ maturing Vergin ลดลงเป็น 45.10% แต่เพิ่มระยะ developed เป็น 41.18%5. เดือนเมษายน เริ่มพบปลาที่มีรังไข่ระยะ developing 4.25% แต่ยังไม่พบปลาที่มีไข่เต็มท้อง6. เดือนพฤษภาคม เริ่มพบปลาที่มีไข่แก่เต็มท้องในระยะ Gravid (4.92%) แต่ยังไม่ได้พบปลาที่วางไข่แล้วและในท้องมีไข่แน่นทุกตัว แสดงว่ายังไม่ได้วางไข่7. เดือนมิถุนายน พบปลาที่มีไข่เต็มท้องพร้อมที่จะวางไข่ มากขึ้น (6.25%) และเริ่มพบปลาที่ได้วางไข่ไปแล้ว spawning (3.13%)8. เดือนกรกฎาคม ปลาส่วนใหญ่มีไข่เต็มท้องพร้อมที่จะวางไข่ (45.45%) และเริ่มพบปลาที่มีไข่ยุบลงและมีรังไข่สีแดงช้ำในระยะ spent (9.09%)9. เดือนสิงหาคม ปลาที่วางไข่ได้ในระยะ Gravid เริ่มลดลดเหลือเพียง 17.65% แต่จะพบปลาที่วางไข่แล้วในระยะ spawning มากขึ้น (29.41%)10. เดือนกันยายน ปลาที่มีไข่แก่เต็มท้องในระยะ Gravid เพิ่มมากขึ้นอีกครั้งและเป็นครั้งที่สูงสุดในระอบปี (42.28%%)11. เดือนตุลาคม ไม่พบปลาที่มีไข่แก่เต็มท้องพร้อมที่จะวางไข่ได้เลย พบปลาที่วางไข่ไปแล้วและพี่พบมากเป็นปลาที่ปรับสภาพสู่ฤดูใหม่ในระยะ Resting มาก (62.50%)12. เดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงเวลาที่ปลาเตรียมพร้อมสำหรับฤดูกาลต่อไปการพัฒนาของรังไข่ในแต่ละเดือนสรุปได้ว่า ปลากระมังเพศเมียเริ่มมีไข่แก่เต็มท้อง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และเริ่มวางไข่ตั้งแต่เดือนมิถุนายน แต่จะพบปลาที่พร้อมผสมพันธุ์วางไข่ได้มากที่สุดในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนและปลาจะว่างไข่หมดในเดือนตุลาคมหลังจากนี้จะไม่พบปลาที่มีไข่แก่เต็มท้องเลย ปลาจะปรับตัวเตรียมพร้อมเพื่อฤดูกาลใหม่ต่อไป ดัชนีความสัมพันธ์ของอวัยวะเพศของปลากระมัง จากตัวอย่างปลาทั้งหมด 547 ตัว หาค่า จากสูตร G.S.I. = น้ำหนักอวัยวะเพศ X 100 น้ำหนักตัว-น้ำหนักอวัยวะเพศ ปลาเพศผู้จำนวน 294 ตัวอย่างพบว่ามีค่า G.S.I. ระหว่าง 0.138 1.950 % และในฤดูผสมพันธุ์มีค่า G.S.I. = 1.284 1.950 % ซึ่งพบว่าปลาเพศผู้มีน้ำเชื้อตลอดปีแต่จะเพิ่มมากที่สุดในฤดูผสมพันธุ์ แต่ตลอดทั้งปี G.S.I. จะมีค่าไมแตกต่างกันมากนัก ปลาเพศเมีย จำนวน 253 ตัวอย่างพบว่ามีค่า G.S.I. ระหว่าง 0.216 -10.117 % และในฤดูสืบพันธุ์มีค่า G.S.I. = 8.210 10.117% ซึ่งจะพบว่าค่า G.S.I. จะเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน (1.439%) และในเดือนกรกฎาคม (10.09%) และลดลงเล็กน้อยในเดือนสิงหาคม (8.210%) และเพิ่มขึ้นอีกครั้งซึ่งสูงสุดในรอบปีในเดือนกันยายน (10.117%) และหลังจากนั้นจะลดลงซึ่งพอจะประมาณได้ว่าปลากระมังสามารถวางไข่ได้ตลอด 4 เดือน ตั้งแต่มิถุนายนถึงกันยายน ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการผ่าตัดดูอวัยวะเพศ ค่า coefficient of condition ในแต่ละเดือนของปลากระมัง จากการศึกษาค่า coefficient of condition (K) ซึ่งเป็นค่าแสดงถึงความสมบูรณ์ของปลา จากสูตร K = 100w/L3 ตาม Swingle และ Shell (1971) โดยใช้ปลากระมังเพศผู้ 428 ตัว เพศเมีย 443 ตัว พบว่าในรอบปีปลาจะหากิจและสะสมอาหารไว้เพื่อกิจกรรมต่างๆ ทางสรีระของตัวปลา เช่น ในการเจริญเติบโตและการแพร่อขยายพันธุ์ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมปลาอาจจะกินอาหารได้มากทำให้อ้วนขึ้น และกิจกรรมการแพร่ขยายพันธุ์ก็มีผลทำให้ค่านี้เพิ่มขึ้น ในระหว่างปีปลาจะมีการพัฒนาอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ (gonad) มีขนาดและน้ำหนักเพิ่มขึ้นจึงมีผลต่อค่า coefficient of condition ทำให้เกิดความแปรผันในแต่ละเดือน นิสัยการวางไข่ ลักษณะของไข่และความดกไข่ พบว่าปลากระมังเป็นปลาที่ชอบวางไข่ในที่โคลนหนาๆ และมีน้ำไหลผ่าน และมีลักษณะไข่แบบครึ่งจมครึ่งลอย (semivouyant dgg) เช่นเดียวกับปลาตะเพียนขาว โดยเริ่มแรกปล่อยออกจากตัวจะจม แล้วดูดน้ำเข้า perivitelline space ของไข่ จึงทำให้ไข่มีขนาดเพิ่มขึ้น และมีความถ่วงจำเพาะใกล้เคียงกับน้ำ จึงลอยตามกระแสน้ำแต่จะจมเมื่ออยู่ในน้ำนิ่ง ไข่ปลากระมังมีลักษณะโปร่งแสงสามารถเห็นไข่แดงเป็นจุดสีเหลืองสดชัดเจน ความดกของไข่เมื่อเทียบกับน้ำหนักรังไข่ พบว่าเฉลี่ย ๆ 4,802 กรัม จะมีไข่จำนวน 16,807.25 ฟอง หรือทุกๆ 1 กรัมของรังไข่จะมีไข่เฉลี่ย จำนวน 3,500 ฟอง การใช้ประโยชน์และการตลาด จากการรวบรวมสถิติการจับปลากระมังขึ้นมาใช้ประโยชน์และซื้อขายของหน่วยงานพัฒนาประมงในอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จำนวน 18 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 2530 พบว่าสมารถจับได้มากเป็นอันดับ 2 และจากสถิติปี 2527 จากมูลค่ารวมของปลาแต่ละชนิด 30.3 ล้านบาท เป็นมูลค่าของปลากระมังอย่างเดียวถึง 4.4 ล้านบาท ปลาสดซื้อขายกันในราคา ประมาณ 15-21 บาท แต่เมื่อแปรรูปเป็นปลารมควัน ราคาประมาณกิโลกรัมละ 50 บาท ตากแห้งกิโลกรัมละ 25 บาท หมักเกลือกิโลกรัมละ 20-30 บาท (สุวีณา และคณะ, 2532 )จากการศึกษาของ สุพัตร์ และธราพันธ์ (2546) ได้ทำการทดลองศึกษาระยะเวลาในการเปลี่ยนอาหารจากอาหารมีชีวิตเป็นอาหารสำเร็จรูป คือ อนุบาลด้วยอาหารสำเร็จรูป 35 วัน, อนุบาลด้วยไรแดง 7, 14, 21 วัน จากนั้นอนุบาลด้วยอาหารสำเร็จรูปจนถึง 35 วัน และ อนุบาลด้วยไรแดง 35 วัน พบว่าลูกปลากระมังมีน้ำหนักเฉลี่ยสุดท้ายเท่ากับ 0.07+0.02, 0.16+0.08, 0.18+0.02, 0.25+0.04 และ 0.25+0.01 กรัม ความยาวเฉลี่ยสุดท้ายเท่ากับ 1.70+0.15, 2.10+0.50, 2.30+0.15, 2.90+0.11 และ 2.80+0.25 เซนติเมตร ตามลำดับ พบว่าระยะเวลาที่เหมาะสมคือ อนุบาลด้วยไรแดง 14-21 วัน (อายุ 21-28 วัน) แล้วจึงอนุบาลด้วยอาหารสำเร็จรูป และได้ทำการศึกษาความต้องการโปรตีนของลูกปลากระมัง ด้วยอาหารที่มีระดับโปรตีนต่างกัน 5 ระดับ คือ 20, 25, 30, 35 และ 40 เปอร์เซ็นต์ มีพลังงานที่ย่อยได้ 290 กิโลแคลอรี/100 กรัม พบว่าลูกปลากระมังมีน้ำหนักเฉลี่ยสุดท้ายเท่ากับ 0.23+0.02, 0.39+0.07, 1.03+0.07, 1.32+0.10 และ 1.29+0.14 กรัม ความยาวเฉลี่ยสุดท้ายเท่ากับ 2.50+0.21, 3.10+0.15, 3.80+60.15, 4.40+0.17 และ 4.50+0.12 เซนติเมตร ตามลำดับ จากการทดลองพบว่าอาหารที่มีระดับโปรตีนที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของลูกปลากระมัง คือ อาหารที่ระดับโปรตีน 35 เปอร์เซ็นต์"