ข้อมูลสิ่งมีชีวิต


วันที่อัพเดท : 12 มิ.ย. 2566 12:11 น.
วันที่สร้าง: 12 มิ.ย. 2566 12:11 น.
ข้อมูลทั่วไป
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
- ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงถึง ๑๕ ม. ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ดอกออกเป็นช่อจากซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกสีขาวอมเขียว ขนาดเล็ก ผลรูปรีมีเนื้อฉํ่านํ้า ผลสุกสีเหลืองอมเขียว มีเมล็ดแข็ง ๑ เมล็ด ออกดอกช่วงเดือนตุลาคม – มกราคม ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด หรือปักชำ
- ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงถึง ๑๕ ม. ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ดอกออกเป็นช่อจากซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกสีขาวอมเขียว ขนาดเล็ก ผลรูปรีมีเนื้อฉํ่านํ้า ผลสุกสีเหลืองอมเขียว มีเมล็ดแข็ง ๑ เมล็ด ออกดอกช่วงเดือนตุลาคม – มกราคม ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด หรือปักชำ
- ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงถึง ๑๕ ม. ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ดอกออกเป็นช่อจากซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกสีขาวอมเขียว ขนาดเล็ก ผลรูปรีมีเนื้อฉํ่านํ้า ผลสุกสีเหลืองอมเขียว มีเมล็ดแข็ง ๑ เมล็ด ออกดอกช่วงเดือนตุลาคม – มกราคม ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด หรือปักชำ
- ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงถึง ๑๕ ม. ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ดอกออกเป็นช่อจากซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกสีขาวอมเขียว ขนาดเล็ก ผลรูปรีมีเนื้อฉํ่านํ้า ผลสุกสีเหลืองอมเขียว มีเมล็ดแข็ง ๑ เมล็ด ออกดอกช่วงเดือนตุลาคม – มกราคม ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด หรือปักชำ
- เป็นพันธุ์ไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 20-25 เมตร ลักษณะของต้นเป็นทรงเรือนยอดเป็นพุ่มหนาทึบตลอดปี มีรากที่แข็งแรง กว้างขวาง และหยั่งลึก เปลือกของลำต้น ค่อนข้างหนา มีสีน้ำตาลเทาหรือสีเทาปนดำ ผิวเปลือกแตกเป็นร่องตื้นๆ หรือเป็นสะเก็ดยาวๆ เยื้องสลับกันไปตามความยาวของละต้น ส่วนเปลือกของกิ่งมีลักษณะค่อนข้างเรียบ และเนื้อไม้มีสีแดงเข้ม
ปนสีน้ำตาล เสี้ยนค่อนข้างสับสนเป็นริ้วๆ แคบ เนื้อหยาบ เป็นมันเลื่อม มีความแข็งแรงทนทาน ส่วนแกนไม้มีสีน้ำตาลแดง มีความแข็งแรงและทนทานมาก
รายละเอียดอื่นๆ ของแหล่งที่พบ :
- พื้นที่ชุ่มน้ำหนองบงคาย
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขาประทับช้าง
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่า อุทยานสมเด็จพระศรีนครินทร์กาญจนบุรี
- อุทยานแห่งชาติ น้ำตกสามหลั่น
- อุทยานแห่งชาติ ป่าหินงาม
- อุทยานแห่งชาติ รามคำแหง
- อุทยานแห่งชาติ รามคำแหง
- อุทยานแห่งชาติ ลานสาง
- อุทยานแห่งชาติ เอราวัณ
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาอ่างฤาไน
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซับลังกา
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ดงใหญ่
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ถ้ำเจ้าราม
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ถ้ำเจ้าราม
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ถ้ำเจ้าราม
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทุ่งระยะ-นาสัก
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทุ่งใหญ่นเรศวร
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ภูวัว
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แม่จริม
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แม่ตื่น
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แม่ตื่น
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า อุ้มผาง
- บริเวณโดยรอบโรงไฟฟ้าและเหมืองแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง
- บริเวณโดยรอบโรงไฟฟ้าพระนครใต้ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
- บริเวณโดยรอบโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
- อุทยานแห่งชาติ ตาพระยา
- สุรินทร์
- บ้านทำนบ หมู่ที่ 4 ต.กันตวจระมวล อ.ปราสาท จ.สุรินทร์
แหล่งที่พบภายในประเทศ :
- อ่างเก็บน้ำหนองบัว/มหาสารคาม
- ราชบุรี
- กาญจนบุรี
- สระบุรี
- ชัยภูมิ
- สุโขทัย
- สุโขทัย
- ตาก
- กาญจนบุรี
- ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, สระแก้ว
- ลพบุรี
- บุรีรัมย์
- สุโขทัย, ลำปาง
- สุโขทัย, ลำปาง
- สุโขทัย, ลำปาง
- ระนอง, ชุมพร
- กาญจนบุรี, ตาก
- บึงกาฬ
- อุตรดิตถ์
- ตาก
- ตาก
- ตาก
- ลำปาง
- สมุทรปราการ
- นนทบุรี
- บุรีรัมย์, สระแก้ว
- ป่าชุมชนอาลอ-โดนแบน
- สุรินทร์
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา :
- ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นสีเขียวตลอดปี และมีความสูงถึง 30 ม. เปลือกต้นนั้นจะเป็นสีน้ำตาล
ใบ : จะออกใบตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะกลมรี ตรงปลายของมันจะแหลมสั้น มีความยาวประมาณ30 ซม. หลังใบจะเป็นสีเขียวเป็นมัน ส่วนท้องใบนั้นจะเป็นสีเขียวอ่อนกว่า มักจะมีสีแดงและมีขนสั้น ๆ ตามเส้นใบใหญ่
ดอก : ดอกจะออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยจะมีกลีบดอกเลี้ยงติดกันเป็นหลอดสั้น ตรงส่วนปลายจะแยกเป็น 5 กลีบ กลีบ ดอกจะติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 2.4-3.6 ซม. ตรงปลายของมันจะแยกเป็น 5 กลีบ เป็นสีชมพู
เกสร : เกสรตัวผู้จะมีอยู่ประมาณ 5 อัน จะติดกับหลอดกลีบดอกส่วนก้านเกสรตัวเมียนั้นจะมีอยู่ 1 อัน และยาว จะพันอยู่ติดกับหลอดดอก ส่วนปลายของมันจะแยกเป็น 2 แฉก
รังไข่ : ภายในรังไข่นั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ห้อง
เมล็ด ( ผล ) : ผลจะมีลักษณะกลมรียมีความยาว 2.5-3.2 ซม. เมื่อผลแก่แห้งจะแตกออกเป็น 2 ซึก ภายในจะมีเมล็ดประมาณ 25 เม็ด ลักษณะของเมล็ดจะเป็นแผ่นบาง ๆ สีตาลแดง
- ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นสีเขียวตลอดปี และมีความสูงถึง 30 ม. เปลือกต้นนั้นจะเป็นสีน้ำตาล
ใบ : จะออกใบตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะกลมรี ตรงปลายของมันจะแหลมสั้น มีความยาวประมาณ30 ซม. หลังใบจะเป็นสีเขียวเป็นมัน ส่วนท้องใบนั้นจะเป็นสีเขียวอ่อนกว่า มักจะมีสีแดงและมีขนสั้น ๆ ตามเส้นใบใหญ่
ดอก : ดอกจะออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยจะมีกลีบดอกเลี้ยงติดกันเป็นหลอดสั้น ตรงส่วนปลายจะแยกเป็น 5 กลีบ กลีบ ดอกจะติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 2.4-3.6 ซม. ตรงปลายของมันจะแยกเป็น 5 กลีบ เป็นสีชมพู
เกสร : เกสรตัวผู้จะมีอยู่ประมาณ 5 อัน จะติดกับหลอดกลีบดอกส่วนก้านเกสรตัวเมียนั้นจะมีอยู่ 1 อัน และยาว จะพันอยู่ติดกับหลอดดอก ส่วนปลายของมันจะแยกเป็น 2 แฉก
รังไข่ : ภายในรังไข่นั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ห้อง
เมล็ด ( ผล ) : ผลจะมีลักษณะกลมรียมีความยาว 2.5-3.2 ซม. เมื่อผลแก่แห้งจะแตกออกเป็น 2 ซึก ภายในจะมีเมล็ดประมาณ 25 เม็ด ลักษณะของเมล็ดจะเป็นแผ่นบาง ๆ สีตาลแดง
- ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นสีเขียวตลอดปี และมีความสูงถึง 30 ม. เปลือกต้นนั้นจะเป็นสีน้ำตาล
ใบ : จะออกใบตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะกลมรี ตรงปลายของมันจะแหลมสั้น มีความยาวประมาณ30 ซม. หลังใบจะเป็นสีเขียวเป็นมัน ส่วนท้องใบนั้นจะเป็นสีเขียวอ่อนกว่า มักจะมีสีแดงและมีขนสั้น ๆ ตามเส้นใบใหญ่
ดอก : ดอกจะออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยจะมีกลีบดอกเลี้ยงติดกันเป็นหลอดสั้น ตรงส่วนปลายจะแยกเป็น 5 กลีบ กลีบ ดอกจะติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 2.4-3.6 ซม. ตรงปลายของมันจะแยกเป็น 5 กลีบ เป็นสีชมพู
เกสร : เกสรตัวผู้จะมีอยู่ประมาณ 5 อัน จะติดกับหลอดกลีบดอกส่วนก้านเกสรตัวเมียนั้นจะมีอยู่ 1 อัน และยาว จะพันอยู่ติดกับหลอดดอก ส่วนปลายของมันจะแยกเป็น 2 แฉก
รังไข่ : ภายในรังไข่นั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ห้อง
เมล็ด ( ผล ) : ผลจะมีลักษณะกลมรียมีความยาว 2.5-3.2 ซม. เมื่อผลแก่แห้งจะแตกออกเป็น 2 ซึก ภายในจะมีเมล็ดประมาณ 25 เม็ด ลักษณะของเมล็ดจะเป็นแผ่นบาง ๆ สีตาลแดง
- ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นสีเขียวตลอดปี และมีความสูงถึง 30 ม. เปลือกต้นนั้นจะเป็นสีน้ำตาล
ใบ : จะออกใบตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะกลมรี ตรงปลายของมันจะแหลมสั้น มีความยาวประมาณ30 ซม. หลังใบจะเป็นสีเขียวเป็นมัน ส่วนท้องใบนั้นจะเป็นสีเขียวอ่อนกว่า มักจะมีสีแดงและมีขนสั้น ๆ ตามเส้นใบใหญ่
ดอก : ดอกจะออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยจะมีกลีบดอกเลี้ยงติดกันเป็นหลอดสั้น ตรงส่วนปลายจะแยกเป็น 5 กลีบ กลีบ ดอกจะติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 2.4-3.6 ซม. ตรงปลายของมันจะแยกเป็น 5 กลีบ เป็นสีชมพู
เกสร : เกสรตัวผู้จะมีอยู่ประมาณ 5 อัน จะติดกับหลอดกลีบดอกส่วนก้านเกสรตัวเมียนั้นจะมีอยู่ 1 อัน และยาว จะพันอยู่ติดกับหลอดดอก ส่วนปลายของมันจะแยกเป็น 2 แฉก
รังไข่ : ภายในรังไข่นั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ห้อง
เมล็ด ( ผล ) : ผลจะมีลักษณะกลมรียมีความยาว 2.5-3.2 ซม. เมื่อผลแก่แห้งจะแตกออกเป็น 2 ซึก ภายในจะมีเมล็ดประมาณ 25 เม็ด ลักษณะของเมล็ดจะเป็นแผ่นบาง ๆ สีตาลแดง
- ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นสีเขียวตลอดปี และมีความสูงถึง 30 ม. เปลือกต้นนั้นจะเป็นสีน้ำตาล
ใบ : จะออกใบตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะกลมรี ตรงปลายของมันจะแหลมสั้น มีความยาวประมาณ30 ซม. หลังใบจะเป็นสีเขียวเป็นมัน ส่วนท้องใบนั้นจะเป็นสีเขียวอ่อนกว่า มักจะมีสีแดงและมีขนสั้น ๆ ตามเส้นใบใหญ่
ดอก : ดอกจะออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยจะมีกลีบดอกเลี้ยงติดกันเป็นหลอดสั้น ตรงส่วนปลายจะแยกเป็น 5 กลีบ กลีบ ดอกจะติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 2.4-3.6 ซม. ตรงปลายของมันจะแยกเป็น 5 กลีบ เป็นสีชมพู
เกสร : เกสรตัวผู้จะมีอยู่ประมาณ 5 อัน จะติดกับหลอดกลีบดอกส่วนก้านเกสรตัวเมียนั้นจะมีอยู่ 1 อัน และยาว จะพันอยู่ติดกับหลอดดอก ส่วนปลายของมันจะแยกเป็น 2 แฉก
รังไข่ : ภายในรังไข่นั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ห้อง
เมล็ด ( ผล ) : ผลจะมีลักษณะกลมรียมีความยาว 2.5-3.2 ซม. เมื่อผลแก่แห้งจะแตกออกเป็น 2 ซึก ภายในจะมีเมล็ดประมาณ 25 เม็ด ลักษณะของเมล็ดจะเป็นแผ่นบาง ๆ สีตาลแดง
- ใบ - ใบมีสีเขียวเข้มหนาทึบ เมื่ออ่อนมีสีแดง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ยาวประมาณ 15-35 เซนติเมตร มีใบย่อยประมาณ 4-7 คู่ ใบย่อยติดตรงข้ามหรือกิ่งตรงข้าม ลักษณะใบเป็นรูปใบหอกกึ่งรูปเคียวโค้ง กว้างประมาณ 1.5-3.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-9 เซนติเมตร โคนใบเบี้ยวเห็นชัดเจน ส่วนปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม ขอบใบเป็นจักคล้ายฟันเลื่อย ค่อนข้างเกลี้ยง มีเส้นใบ
อยู่ประมาณ 15 คู่ ก้านใบย่อยยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ใบที่อยู่ปลายช่อจะใหญ่สุด ส่วนก้านใบยาวประมาณ 3-7 เซนติเมตร ผิวก้านค่อนข้างเกลี้ยง มีต่อม 1 คู่ที่โคนก้านใบ ในพื้นที่แล้งจัด ต้นจะทิ้งใบเฉพาะส่วนล่างๆ ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม และใบใหม่จะผลิขึ้นมาในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงเดือนเมษายน ซึ่งช่วงนี้ต้นสะเดาจะแทงยอดอ่อนพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ดอก - ออกดอกเป็นช่อแยกแขนงขนาดใหญ่ตามง่ามใบหรือตามมุมที่ร่วงหลุดไปและที่ปลายกิ่งยาวได้ถึง 30 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็กสีขาวหรือสีเทา ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แกนกลางของช่อมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ลักษณะค่อนข้างเกลี้ยง แตกกิ่งกางออกเป็น 2-3 ชั้น ที่ปลายเป็นช่อกระจุกอยู่ 1-3 ดอก มีขนคล้ายไหม มีใบประดับและใบประดับย่อยเป็นรูปใบหอก ยาวประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร มีขนนุ่มและสั้น ส่วนก้านดอกย่อยยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร มีขนนุ่มสั้นเช่นกัน ส่วนกลีบเลี้ยงเป็นรูปทรงแจกัน ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ปลายเป็นพู 5 พูกลม พูซ้อนเหลื่อมกัน กลีบดอกมี 5 กลีบแยกออกจากกัน ลักษณะเป็นรูปช้อนแคบ ยาวประมาณ 4-6 มิลลิเมตรมีขนนุ่มสั้นขึ้นทั้งสองด้าน ท่อเกสรตัวผู้เกลี้ยงหรือมีขนนุ่ม มีสัน 10 สัน ขอบบนเป็นพูกลม 10 พู มีอับเรณู 10 อัน ยาวประมาณ 0.8 มิลลิเมตร ลักษณะเป็นรูปรีแคบ ส่วนรังไข่เกลี้ยงหรือมีขนนุ่มสั้น
มักจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม (ในช่อดอกมีสารจำพวกไกลโคไซด์ Nimbasterin 0.005% และมีน้ำมันหอมระเหยที่มีรสเผ็ดจัดอยู่ 0.5% นอกจากนี้ยังพบว่ามีสาร Nimbecetin, Nimbesterol, กรดไขมัน และสารที่มีรสขม)
ผล - คล้ายผลองุ่น ผลมีลักษณะกลมรี ขนาดกว้างประมาณ 1 เซนติเมตรและ
ยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมเขียว มีรสหวานเล็กน้อย ผลจะสุกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายนขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะสุกเร็วกว่าภาคกลาง เป็นต้น (ผลมีสารขมที่ชื่อว่า Bakayanin)
เมล็ด - เมล็ดมีลักษณะกลมรี ผิวเมล็ดค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กๆ ตามยาวสีเหลืองซีดหรือเป็นสีน้ำตาล ในน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จะมีเมล็ดประมาณ 4,000 เมล็ด ซึ่งในเมล็ดจะมีน้ำมันอยู่ประมาณ 45% (ในเมล็ดมีน้ำมันขม Margosic acid 45% หรือเรียกว่า Nim oil และมีสารขม Nimbin)
การขยายพันธุ์ :
- โดยการใช้กิ่งชำหรือเมล็ด ถ้าปลูกเป็นจำนวนมากนิยมปลูกด้วยเมล็ด
- โดยการใช้กิ่งชำหรือเมล็ด ถ้าปลูกเป็นจำนวนมากนิยมปลูกด้วยเมล็ด
- โดยการใช้กิ่งชำหรือเมล็ด ถ้าปลูกเป็นจำนวนมากนิยมปลูกด้วยเมล็ด
- โดยการใช้กิ่งชำหรือเมล็ด ถ้าปลูกเป็นจำนวนมากนิยมปลูกด้วยเมล็ด
- โดยการใช้กิ่งชำหรือเมล็ด ถ้าปลูกเป็นจำนวนมากนิยมปลูกด้วยเมล็ด
ข้อมูลการนำไปใช้ประโยชน์
รายละเอียดการนำมาใช้ประโยชน์ :
- อาหาร
- อาหาร
- ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยบำรุงธาตุไฟ ขับน้ำย่อยอาหารทำให้กระเพาะย่อยอาหารได้ดีขึ้น ช่วยบำรุงโลหิต น้ำตาลที่ได้จากการหมักน้ำจากลำต้นมีแร่ธาตุ ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยบำรุงและรักษาสายตา โดยพบว่าผู้ที่รับประทานยอดสะเดาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุ 90 กว่า สายตายังดีมาก ใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร ด้วยการใช้ช่อดอกนำมาลวกน้ำร้อน จิ้มน้ำปลาหวานหรือน้ำพริก หรือจะใช้เปลือกสดประมาณ 1 ฝ่ามือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว ช่วยแก้กษัยหรือโรคซูบผอม ผอมแห้งแรงน้อย ช่วยรักษาโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเอดส์ เนื่องจากการรับประทานใบสะเดาเป็นอาหารจะช่วยทำให้เจริญอาหาร ลดอาการเบื่ออาหารหรือกินอาหารได้น้อยแล้วทำให้ซูบผอม จนทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน ช่วยลดความเครียด โดยมีผลการทดลองในหนู ระหว่างกลุ่มที่ได้รับน้ำใบสะเดาคั้นและกลุ่มที่รับยา Diazepam (Valium) ซึ่งเป็นยาลดความกังวล ผลการทดลองพบว่าสะเดาส่งผลได้ดีเท่ากับหรือดีกว่ายา Diazepam ช่วยทำให้นอนหลับสบายหรือหากนอนไม่หลับ ให้ใช้ใบและก้านสะเดาประมาณ 1 กำมือ ใส่น้ำพอท่วมยาแล้วต้มให้เดือดนาน 5-10 นาที ใช้กินครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 เวลา
สถานภาพการคุกคาม
สถานภาพการคุกคาม (โลก) :
- สิ่งมีชีวิตที่มีสถานภาพเป็นกังวลน้อยที่สุด Least Concern: LC (IUCN, 2018)
ที่มาของข้อมูล